23/11/56

รู้จักตนเองเพื่อการเรียนรู้ที่ดี

สวัสดีค่ะผู้อ่านที่น่ารักทุกท่าน 
และแล้วเราก็ได้พบกันอีกนะคะ :)

..มีใครเคยลองนั่งคิดกันบ้างไหมคะ 
ว่าตัวเรานั้นสามารถทำอะไรได้บ้าง 
แล้วกว่าที่เราจะสามารถทำสิ่งต่างๆ นั้นได้ 
เราต้องเรียนรู้อย่างไรกว่าจะทำได้สำเร็จ.. 



"ธรรมชาติของมนุษย์ทุกคนมีการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน
คนที่จะสามารถเรียนรู้ได้ดีต้องรู้จักมองตัวเองให้เป็น"

การเรียนรู้สามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา แป้งเป็นคนหนึ่งที่ชอบเรียนรู้สิ่งต่างๆรอบตัว ก่อนที่เราจะเริ่มต้นเรียนรู้สิ่งต่างๆนั้น เราต้องมองมาที่ตัวตนของเราก่อนว่าเราสามารถทำสิ่งไหนได้ดี และสิ่งไหนคือจุดอ่อนที่ต้องเพิ่มเติมและแก้ไข 

แป้งชอบอ่านหนังสือค่ะ เวลาสนใจเรื่องไหน หรือมีเรื่องที่ไม่เข้าใจ แป้งจะเริ่มจากการอ่าน โดยปกติแล้วแป้งจะชอบอ่านหนังสือในเวลากลางคืนค่ะ มักจะเป็นเวลาช่วงเที่ยงคืน-ตีสอง เคยลองอ่านมาหลายช่วงเวลาค่ะ แต่รู้สึกด้วยตัวเองว่าช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับตัวเรา จะเป็นช่วงที่สมองตื่นตัวโดยอัตโนมัติ พอเกินเวลาตีสองก็จะง่วง ต้องไม่ฝืนค่ะ เพราะถ้าฝืนก็ไม่มีทางอ่านแล้วเข้าใจ เหมือนเป็นแค่การมองผ่าน อ่านเพื่อให้เข้าใจกับอ่านแล้วจำต่างกันนะคะ การอ่านแล้วจำก็จะจดจำได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น แต่ถ้าเราอ่านแล้วทำความเข้าใจจะทำให้เราจดจำได้อย่างอัตโนมัติและจะไม่ลืมสิ่งที่อ่านค่ะ

สำหรับการทำงาน แป้งสามารถทำงานได้ดีในช่วงเวลาสี่ทุ่ม-เที่ยงคืนค่ะ เป็นช่วงก่อนการอ่านหนังสือนั่นเอง เนื่องจากว่าเป็นคนนอนดึก เลยชอบทำงานตอนดึกๆ เคยลองทำงานหลังจากเลิกเรียน กลับมาถึงห้องก็นั่งทำเลย แต่ไม่ไหวค่ะ เหมือนเราเพลียจากการเรียนทั้งวัน จะรู้สึกง่วงมากๆ เลยต้องปรับเปลี่ยนวิธีใหม่ คือกินข้าวให้เรียบร้อย พักผ่อนสมอง พักร่างกายให้หายเหนื่อย วันไหนเพลียมากๆ แล้วมีหนังสือที่ต้องอ่านหลังจากทำงาน ก็จะนอนเลยค่ะ แล้วจะตื่นได้แบบอัตโนมัติ เพื่ออาบน้ำแล้วก็นั่งทำงาน แต่ถ้าวันไหนไม่ต้องอ่านหนังสือ ไม่มีเรื่องที่ต้องทบทวน ก็จะพยายามทำงานให้เสร็จก่อนเที่ยงคืน หลังจากนั้นจะต้องรีบนอน เพราะถ้านอนไม่พอ ตอนเรียนจะปวดหัวมากๆ แล้วจะทำให้ไม่สามารถเรียนรู้ได้อย่างเต็มที่

ในวันหยุดแป้งจะนอนให้พอ การนอนให้พอสำหรับแป้งคือเมื่อเราตื่นมาแล้วเราจะไม่รู้สึกง่วงอีก ไม่ปวดหัวเลย โดยปกติแล้วถ้าวันหยุดมีงานค้างที่ต้องทำให้เสร็จ ถ้าตื่นเช้าก็จะทำให้เสร็จก่อนเที่ยง แล้วช่วงบ่ายก็พัก ถ้างานไม่เสร็จก็ทำต่อ หรือถ้าวันไหนตื่นสายก็จะเริ่มทำงานช่วงบ่ายเลย ไม่รู้ว่ามีใครเป็นแบบแป้งไหม เวลาทำงานแล้วคิดงานไม่ออก ยิ่งคิดยิ่งสับสน บางครั้งถึงกับเครียด แป้งต้องหยุดทำเลยค่ะ แล้วเปลี่ยนมาทำสิ่งที่่ช่วยให้เราผ่อนคลาย ซึ่งแป้งมักจะนั่งวาดรูป ระบายสี หรืออะไรก็ตามแต่ที่เป็นงานศิลปะ จะช่วยให้รู้สึกดีมากขึ้น เหมือนเราได้ระบายสิ่งที่สับสนลงในกระดาษ หลังจากนั้นสมองจะสามารถทำงานได้ดีเหมือนเดิม

การพูดคุยและการฟังก็เป็นวิธีที่จะช่วยทำให้แป้งสามารถเรียนรู้ได้ดี ทุกครั้งเวลาจะสอบแป้งมักจะแลกเปลี่ยนความรู้กับเพื่อน ใครอ่านเรื่องไหนเข้าใจแล้ว ก็จะมาอธิบายเพื่อนๆ ยิ่งเราแลกเปลี่ยนกันมากก็ช่วยให้เข้าใจได้มาก ส่งผลดีต่อทั้งตัวเราและเพื่อนนะคะ เราสามารถแลกเปลี่ยนความรู้กันได้ตลอดเวลา ไม่ได้จำเป็นที่จะต้องทำแค่ช่วงสอบ วิธีนี้นอกจากจะได้ความรู้แล้ว ยังทำให้เรารู้จักเพื่อนหรือคนรอบตัวมากขึ้นด้วยค่ะ เพราะการพูดจะแสดงออกถึงอะไรหลายๆ อย่าง บางครั้งตัวผู้พูดเองก็ไม่ทันรู้ตัว ถ้าคนฟังรู้จักสังเกตจะรับรู้ได้นะคะ

อีกหนึ่งวิธีสำคัญที่ทำเป็นประจำ คือการจดบันทึกค่ะ เป็นคนที่ชอบอ่านแล้วก็ชอบเขียน ไปไหนมาไหนจะมีสมุดบันทึกเล่มเล็กๆ ติดกระเป๋าไว้ตลอด ยิ่งถ้าเป็นการอ่านแล้วเขียนสรุป ก็จะเข้าใจมากขึ้นไปอีกนะคะ เพราะเป็นการสรุปความคิดด้วยตัวเราเอง จะทำให้ง่ายต่อการทำความเข้าใจ สามารถนำกลับมาอ่านซ้ำๆ ได้โดยไม่ต้องใช้เวลามากเหมือนในการสรุปครั้งแรกอีกด้วย ที่สำคัญเลยคือเวลาจดบันทึกต้องใช้ปากกาหลายๆ สีค่ะ จะช่วยในการจำมากยิ่งขึ้น วาดรูปด้วยก็ได้ อะไรก็ตามที่มองเห็นเป็นรูปธรรมมากกว่า จะทำให้เข้าใจง่ายกว่าค่ะ

และสุดท้ายนี้ เป็นสิ่งที่จะลืมไม่ได้เลยคือเรื่องของเวลา อย่างที่ได้กล่าวไปบ้างแล้วว่าเราต้องหาเวลาที่เหมาะสมกับการเรียนรู้ในรู้แบบต่างๆ ของตัวเราเองให้ได้ เพราะเวลาที่เหมาะสมกับสภาวะของร่างกาย จะทำให้การเรียนรู้มีประสิทธิภาพมากขึ้นนะคะ 

"การเรียนรู้ตลอดชีวิต 
คือการเรียนรู้ได้ทุกที่ทุกเวลา 
สิ่งต่างๆรอบตัวเราให้ถือว่าเป็นครู"

เป็นอย่างไรกันบ้างคะ สำหรับการเรียนรู้และวิธีการของแป้ง เมื่ออ่านจนจบแล้วมองเห็นอะไรกันบ้าง แป้งเพียงอยากจะบอกว่าการทำความรู้จักกับตัวเราเองนั้นไม่ใช่เรื่องยาก การทำความรู้จักกับตัวเองก็ถือว่าเป็นการเรียนรู้อย่างหนึ่ง แค่ลองมองจากสิ่งที่เราทำ สิ่งที่เราเป็น อะไรคือตัวเรา เพียงเท่านี้ก็สามารถทำให้เกิดการเรียนรู้ที่ดีได้แล้วค่ะ อย่าลืมนำไปลองปรับใช้กันดูนะคะ


..แล้วพบกันใหม่ในบทความต่อไป
สวัสดีค่ะ :)

 

8/11/56

เติบโตและก้าวเดิน

สวัสดีค่ะคุณผู้อ่านที่แวะเวียนเข้ามาอ่านบล็อกนี้
จะด้วยความตั้งใจหรือความบังเอิญก็แล้วแต่
ซึ่งเมื่อเราได้พบกันแล้ว เราก็ต้องมาทำความรู้จักกันนะคะ :D





..เด็กผู้หญิงธรรมดา.. 



เด็กน้อยคนนี้คือใครกันหนอ.. เดาไม่ยากเลยใช่ไหมค่ะ นี่คือ "แป้ง" เองคะ 
ใครๆ ก็มักจะบอกว่าตอนเด็กแป้งเป็นเด็กอารมณ์ดี ยิ้มง่าย หัวเราะง่าย

เด็กต่างจังหวัดที่บังเอิญสอบติดมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ บ้านอยู่ที่ลำพูนค่ะ การใช้ชีวิตที่บ้านนั้นแสนจะเรียบง่าย ต่างจังหวัดไม่มีอะไรเยอะแยะให้วุ่นวายใจเหมือนเมืองใหญ่ๆ แบบกรุงเทพฯ รถไม่ติด อากาศไม่ร้อน ฝุ่นน้อย สภาพแวดล้อมรอบตัวก็ดี ยิ่งอยู่ภาคเหนืออากาศยิ่งเย็นสบายเลย



 




วัยเด็กของแป้งเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมากที่สุด เคยได้ยินประโยคนี้ไหมคะ “เป็นเด็ก เจ็บที่สุดก็แค่หกล้ม” เพราะไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แป้งจะไม่รู้สึกทุกข์หรือร้องไห้เลย มีแต่เวลาที่หกล้มเท่านั้น อาจจะเป็นเพราะเป็นหลานผู้หญิงคนเดียวด้วยหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ ทุกคนในบ้านเลยใส่ใจเป็นพิเศษ ถูกตามใจตั้งแต่เด็ก เว้นแต่แม่คนเดียว แม่เป็นผู้หญิงที่มีเหตุผลมากถึงมากที่สุดคนหนึ่งเลยค่ะ แม่ไม่เคยตามใจ แต่แม่ใส่ใจ เราต้องแยกแยะให้ถูกนะคะ ใส่ใจกับตามใจความหมายไม่เหมือนกัน แม่บอกเสมอว่าการที่แม่ไม่ตามใจแป้ง เพราะอยากให้แป้งเป็นคนมีเหตุผล รู้จักคิด รู้จักรอ ฝึกความอดทน แม่จะใช้วิธีนี้ในการสอนแป้งเสมอ




แป้งเติบโตมาได้เพราะครอบครัว เพื่อน สภาพแวดล้อม สังคม หรืออะไรก็แล้วแต่ที่หล่อหลอมให้เป็นแป้งในปัจจุบันได้ หลายสิ่งหลายอย่างสอนให้แป้งค่อยๆ เติบโตอย่างช้าๆ แต่มั่นคง แม่พูดกับแป้งเสมอว่า “คนเราต้องฟังหลายๆ เสียง อย่าฟังเพียงเสียงของตัวเอง การฟังแต่เสียงตัวเองเป็นการเติบโตแบบก้าวกระโดด เพราะเราไม่มีคำแนะนำที่ดี เมื่อไหร่ก็ตามที่เรากระโดดพลาด ตอนเท้าตกย่ำพื้นข้อเท้าเราก็จะพลิก แล้วเราก็จะเจ็บ” ความเจ็บปวดที่แม่พูดถึงคงหมายถึงปัญหาในการดำเนินชีวิต ถามว่าตอนนี้แป้งพอเข้าใจบ้างหรือยัง ตอบได้เลยค่ะว่าพอเข้าใจบ้าง แต่ก็ยังไม่มากพอ ยังต้องเรียนรู้การใช้ชีวิตอีกมาก เพื่อให้สามารถก้าวเดินได้เร็วขึ้นด้วยตัวเอง




การศึกษาเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยพัฒนาตัวเราค่ะ แม่ให้แป้งมาเรียนโรงเรียนในตัวเมืองตั้งแต่เด็กๆ เพราะบ้านอยู่อำเภอรอบนอก แม่อยากให้เราได้รับโอกาสทางการศึกษาอย่างเต็มที่ พอจบระดับประถมศึกษาก็สอบเรียนชั้นมัธยมได้ที่โรงเรียนประจำจังหวัดค่ะ ตอนสอบติดทุกคนดูแปลกใจ คิดว่าล้อเล่นหรือเปล่า เพราะใครๆ ก็มักจะบอกว่าสอบเข้ายากมากเลยนะโรงเรียนนี้ แป้งไม่ได้มองว่าเขาดูถูกเราหรอกนะคะ แต่มองในมุมที่ว่า เขาไม่รู้จักเราดีพอ

ทุกคนที่ผ่านการเรียนชั้นมัธยมมาคงทราบดีว่าช่วงม.6เป็นอะไรที่วุ่นวายมากในชีวิตช่วงนั้น ทั้งเรียนหนักขึ้น อ่านหนังสือมากขึ้นเพื่อเตรียมตัวสอบเรียนต่อในมหาวิทยาลัย เรียนพิเศษเพิ่มเติม สารพัดวิธีจะเพิ่มความรู้และรอยหยักในสมอง บ่อยครั้งที่เหนื่อยและท้อมาก แม่จะคอยให้กำลังใจ และบอกให้อดทนเพื่อความสำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้




สำหรับแป้งแล้วทุกอย่างที่เราได้ตั้งใจทำแล้วส่งผลออกมาในด้านที่ดี ถือว่าคุ้มค่าแล้วกับความเหนื่อย วันประกาศผลสอบแล้วมีชื่อเราอยู่ในรายชื่อผู้สอบผ่าน มันเป็นความรู้สึกที่ยากจะอธิบายจริงๆ ค่ะ หายเหนื่อย ดีใจจนร้องไห้ เหมือนยกภูเขาความเครียดและความกดดันก้อนมหึมาออกไปให้พ้นจากความรู้สึกของเรา และที่สำคัญทำให้แม่ภูมิใจในตัวเราด้วยนะคะ











การมาเรียน มศว คือจุดเปลี่ยนครั้งยิ่งใหญ่และครั้งแรกของชีวิตเลยค่ะ แป้งต้องเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตคนเดียว ซึ่งแตกต่างจากเมื่อก่อนที่จะมีแม่คอยดูแลอยู่เสมอ เป็นการเปิดมุมมองของตัวเอง ได้พบเจออะไรใหม่ๆ เพื่อนใหม่ สังคมที่ใหญ่แล้วกว้างมากขึ้น การดำเนินชีวิตเปลี่ยนไปอย่างมาก ช่วงแรกๆ ก็ลำบากนะคะ แต่พอนานๆ ไปก็ชิน และเริ่มเรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างได้ด้วยตัวเอง การใช้ชีวิตที่ต้องหัดพึ่งพาตัวเองไม่ได้ยากอย่างที่คิด เพียงแต่ว่าเราต้องรู้จักอดทน ปัญหามีไว้เพื่อทดสอบตัวเราเอง ถ้าผ่านมันไปได้ เราก็จะโตขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง



เรียนจบแล้วแป้งอยากจะทำอะไร? คำถามฮอตฮิตตลอดกาลที่ไม่ว่าจะเจอญาติผู้ใหญ่ท่านไหนก็ต้องถาม อนาคตก็คืออนาคตค่ะ วันนี้ ตอนนี้ ทำตามหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ถึงเวลาเราจะได้คำตอบเองว่าเราควรจะทำอะไรต่อไป เพราะไม่มีใครรู้จักตัวเราได้ดีเท่าตัวเราเอง..






 
"การบอกเล่าเรื่องราวในชีวิต
เท่ากับเป็นการบอกถึงตัวตน
เราดำเนินชีวิตแบบไหน
เติบโตมาอย่างไร
เราก็จะเป็นคนแบบนั้น"
  
..แล้วพบกันใหม่
ในบทความต่อไปนะคะ
 แป้ง - จิรนันท์ โพธิพฤกษ์ :)