3/6/58

การเดินทางของนิทาน : ตอนที่ 3

การเดินทางของนิทานเรื่อง เพื่อนที่แสนดี

นิทานเกือบจะเสร็จสมบูรณ์แล้ว โดยตอนนี้เหลือแค่การระบายสีเท่านั้น แต่ก่อนระบายสีต้องตรวจสอบความถูกต้องของแต่ละหน้าก่อนว่าเป็นไปตามที่วางแผนไว้หรือเปล่า ซึ่งเมื่อดูแล้วไม่มีอะไรผิดพลาดจึงไม่รอช้า ลงมือระบายสีให้ครบทุกหน้า


สุดท้ายนี้จะติดสติ๊กเกอร์ให้เรียบร้อย เพื่อให้นิทานมีความคงทน และไม่ให้กระดาษขาดเวลาน้ำหกหรือหยดใส่





การเดินทางของนิทาน : ตอนที่ 2

การเดินทางของนิทานเรื่อง เพื่อนที่แสนดี

หลังจากได้รูปแบบ เนื้อเรื่องที่ต้องการก็ได้เวลาลงมือปฏิบัติ โดยเริ่มจากการซื้อวัสดุอุปกรณ์ในการทำนิทาน โดยการทำนิทานครั้งนี้เลือกวาดมือ เป็นแบบทำมือทุกอย่าง เพราะไม่ถนัดวาดโดยโปรแกรม

โดยกระดาษที่เลือกใช้จะเป็นกระดาษปอนด์เรียบ ที่เลือกใช้กระดาษปอนด์เรียบเป็นเพราะว่า หากใช้แบบขรุขระ เมื่อติดสติ๊กเกอร์ใสในขั้นตอนสุดท้ายจะทำให้นิทานดูไม่เรียบร้อยสวยงาม อาจมีฟองอากาศเหลืออยู่หากไล่อากาศตอนติดสติ๊กเกอร์ไม่ทัน




ทำการตัดกระดาษขนาดเป็นขนาด 8*16 นิ้ว เมื่อพับครึ่งแล้วเย็บตรงกลาง นิทานจะมีขนาด 8*8 นิ้ว เสร็จแล้วลงมือวาดตามที่คิดไว้และทำการตัดเส้นด้วยปากกาน้ำตาลให้ครบทุกหน้า






การเดินทางของนิทาน : ตอนที่ 1

 

การเดินทางของนิทานเรื่อง เพื่อนที่แสนดี

นิทานเรื่องนี้เป็นนิทานที่ทำขึ้นเพื่อประกอบการเรียนในรายวิชาการเขียนหนังสือสำหรับเด็ก โดยในช่วงแรกได้เลือกทำอีกเรื่องหนึ่ง แต่พอให้คุณแม่ช่วยดูเนื้อเรื่อง กลับบอกว่าถ้าเด็กอ่านคงไม่เข้าใจ จึงต้องเปลี่ยนเรื่อง โดยก็คือเรื่องที่ทำเสร็จแล้วตอนนี้

ช่วงสงกรานต์หลังจากหยุดยาวก็ได้กลับมาคิดว่าควรทำเรื่องอะไรดี คุณแม่ก็ช่วยคิด และได้ข้อสรุปกันว่าเราน่าจะทำเรื่องเกี่ยวกับการพูด เพราะน่าจะใกล้ตัวเด็กมากที่สุด จึงได้ทำโครงเรื่องใหม่ และแบ่งว่าแต่ละหน้าควรนำเนินเรื่องอย่างไร


หลังจากนั้นก็ทำเป็นรูปเล่ม แต่เป็นตัวอย่าง เพื่อเป็นการจำลองว่านิทานเราจะออกมาในรูปแบบไหน ต้องวางข้อความตรงไหน วาดรูปอะไรบ้าง




นิทาน : เพื่อนที่แสนดี



Theme ค่านิยม 12 ประการ : ข้อ 9. มีสติรู้ตัว รู้คิด รู้ทำ รู้ปฏิบัติตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ชื่อเรื่อง : เพื่อนที่แสนดี
กลุ่มเป้าหมาย : วัยประถมต้น ช่วงอายุ 6-8 ปี
ประเภทหนังสือ : ร้อยแก้ว
แก่นของเรื่อง / สาระสำคัญ : สอนให้เด็กมีสติในการฟัง ไม่เชื่อคำพูดของใครง่ายๆ โดยไม่ได้ไตร่ตรอง
โครงสร้างเนื้อหา / ความนำและความท้าทาย :
          ณ สวนมะม่วงแห่งหนึ่ง มีเพื่อนรัก 2 คน ชื่อกระรอกกับกระต่าย ซึ่งทำงานด้วยความขยันและไม่เคยทะเลาะกันเลย อยู่มาวันหนึ่งมีเพื่อนร่วมงานอิจฉา จึงหาวิธีทำให้ทั้ง 2 คนทะเลาะกัน จึงไปพูดโกหกกับกระต่ายให้เกิดความเข้าใจผิด แต่ด้วยความมีสติของกระรอกหลังจากได้สอบถามกระต่ายจึงทำให้หาวิธีแก้ไขปัญหาได้ และทั้ง 2 ก็ทำงานด้วยกันต่อไปอย่างมีความสุข

ฉาก
·       สนามหญ้า
·       สวนมะม่วง

ตัวละคร 
·       กระต่าย : เด็กผู้หญิงขยันทำงาน มีความตั้งใจ
·       กระรอก : เด็กชายขยันทำงาน ตั้งใจ รักเพื่อน และมีสติ
·       ลิงจ๋อ : เด็กชายจอมขี้เกียจ ขี้อิจฉา
·       เจ้าของสวน : ผู้ใหญ่ใจดี มีความเมตตา มีเหตุผล

Newyear's life

สวัสดีค่ะผู้อ่านที่น่ารักน่าเลิฟทุกท่าน :3
เมื่อไม่กี่วันก่อนแป้งมีโอกาสได้นั่งคุยกับเพื่อนคนหนึ่ง
เธอคนนี้เป็นคนที่มีความน่าสนใจหลายอย่าง
ชีวิตไม่เคยหยุดนิ่ง ต้องมีกิจกรรมหรือการเดินทางอยู่ตลอด
แต่จะน่าสนใจอย่างไรนั้น ไปอ่านด้านล่างกันเลยค่า.. 


Newyear's life

Newyear's life ไม่ได้หมายถึงชีวิตในช่วงปีใหม่นะคะ แต่เพื่อนของแป้งชื่อนิวเยียร์คค่ะ เพื่อนคนนี้มีความสุขกับทุกสิ่งที่ทำ เต็มที่กับชีวิตมากๆ การเรียนก็ทำได้ดี กิจกรรมก็ไม่เคยขาด เมื่อมีโอกาสได้นั่งคุยกันเลยขอถามเพื่อนสักหน่อย

..ทำไมถึงกลายมาเป็นเด็กกิจกรรม..

“มันสนุก มันมีอะไรมากกว่าในห้องเรียน บางทีในห้องเรียนมันน่าเบื่อ เจอแต่ตัวหนังสือ บทเรียน อยู่แต่กับเพื่อนเดิมๆ ก็ยากเปลี่ยนบ้าง เลยมีความคิดในการเริ่มทำกิจกรรม เพราะจะได้พบเจอคนหลากหลายมากขึ้น ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ ทุกคนที่ทำกิจกรรมล้วนเป็นคนที่มีความสามารถ มีศักยภาพในตนเอง เมื่อได้ทำกิจกรรมร่วมกันเราจะได้เรียนรู้การทำงานและพฤติกรรมของผู้อื่น ซึ่งสามารถนำมาปรับใช้กับตัวเราเองได้”

..แบ่งเวลาอย่างไร..

“หากเป็นกิจกรรมของมหาลัยก็ทำได้ทุกวันอยู่แล้ว ถ้าเป็นช่วงกลางวันก็ทำได้ไม่มีปัญหา แต่ตอนเย็นอาจจะจำกัดเวลาเพราะหอให้เข้าได้ไม่เกิน 2 ทุ่ม แล้วหลังจาก 2 ทุ่มก็จะเป็นช่วงเวลาเคลียร์การบ้าน วันไหนที่ว่าง ไม่มีเรียนก็จะทำกิจกรรม เสาร์-อาทิตย์ก็ทำกิจกรรมกับองค์กรภายนอกได้ แต่ใน 1 เดือนก็ต้องแบ่งเวลาให้ดี ลากลับบ้านได้ 2 ครั้ง ก็ต้องแบ่งเวลาว่าจะทำอะไรในช่วงไหน”

..อยากให้เล่าประสบการณ์ค่ายที่ประทับใจ..

“ขอเล่าถึงค่าย มศว พบประชาชน ค่ายจัดขึ้นเดือนมีนาคม 2557 เป็นค่ายที่ชอบมาก เพราะนั่งรถนานมาก ประมาณ 15 ชั่วโมง ไปที่จังหวดตาก เป็นรถบัสพัดลม 3 คัน มีภูเขาตลอด การเดินทางอุปสรรคเยอะ แต่ก็ไปถึงจุดหมาย จัดทั้งหมด 1 อาทิตย์ เป็นค่ายสำหรับผู้นำและนักกิจกรรมของมหาวิทยาลัย โดยจะแบ่งเป็นฝ่ายต่างๆ เช่นฝ่ายวิชาการ ได้ไปทำห้องสมุด จัดหนังสือ ฝ่ายบำเพ็ญประโยชน์จะทำโรงจอดรถ ทาสีอาคารเรียน มีการจัดกีฬา ทำกิจกรรมร่วมกับเด็ก ซึ่งสิ่งที่ได้จากค่ายนี้ อย่างแรกเลย ได้มิตรภาพ ได้เพื่อนใหม่ ทำให้การประสานงานภายในมหาวิทยาลัยง่ายขึ้นมาก”

..ระหว่างการเรียนกับการทำกิจกรรมชอบอะไรมากกว่ากัน..

“ชอบกิจกรรมมากกว่าการเรียน เพราะมันสนุกกว่า ไม่น่าเบื่อ ทำกิจกรรมได้ปฏิบัติจริง ลงมือจริง ได้ประสบการณ์จริง”

 

..ชอบทำกิจกรรมแบบนี้ ยังอยากเป็นครูหรือเปล่า..

“เริ่มแรกเลยอยากเรียนวิศวกรรม เพราะชอบลงมือปฏิบัติ แต่พอได้มาเรียนครู ก็มีความรู้สึกว่าเราถูกบ่มเพาะมาเรื่อยๆ จากไม่อยากเป็นครูเลย ไม่ชอบมากๆ พอเรียนผ่านไป 1 เทอมกลับรู้สึกว่า เรียนครูก็ดีนะ ซึมซับความเป็นครูมาทีละนิดๆ ตอนนี้เลยรู้สึกว่าเป็นครูก็ดีนะ”

 

..นอกจากสิ่งที่ทำอยู่ตอนนี้ อยากทำอะไรอีกไหม..

“นอกจากการทำกิจกรรมก็จะเป็นเรื่องเที่ยว เพราะเป็นคนชอบเที่ยว อยากเที่ยวอุทยานทั่วประเทศไทย ไปเปิดโลกกว้าง หาประสบการณ์ให้ตัวเอง เพราะอุทยานแต่ละที่ก็มีความแตกต่างกัน อยากไปเรียนรู้ เผื่อในอนาคตไปเป็นครูจะได้พาเด็กไปทัศนศึกษานอกสถานที่ได้ และอีกอย่างหนึ่งก็คือการไปเรียนต่อต่างประเทศ แล้วกลับมาทำงานที่ไทย คือตอนนี้เหมือนประเทศเรายังไม่พัฒนาในด้านการศึกษาเท่าที่ควร หรืออาจจะพยายามพัฒนาแต่หลายอย่างมันไม่ตรงจุด เราเรียนเรายังเบื่อเลย เด็กก็คงรู้สึกเบื่อไม่ต่างกัน เลยอยากไปศึกษาที่ประเทศอื่นว่าจัดระบบการศึกษาแบบไหน ที่จะทำให้การศึกษาน่าสนใจ เด็กอยากเรียนรู้ และไม่น่าเบื่อ”

..มีความสุขกับสิ่งที่ทำอยู่ทุกวันนี้ไหม..

“มีความสุขมาก แต่จะมากกว่านี้ถ้าได้ไปเที่ยวและได้ไปเรียนต่อต่างประเทศมาก”

..พูดถึงชีวิตตัวเอง..

“ชีวิตมันเยียร์ๆ(นิวเยียร์) คือทำอะไรก็ได้ที่เรามีความสุข สนุก แต่เราก็ยังใส่ใจคนอื่นบ้าง คนเรามันต้องมีทั้งดีและไม่ดี อะไรที่ทำแล้วมีความสุขก็ทำไป ไม่เดือดร้อนใครก็ทำไป”

 

..ขอฝากคติประจำใจ..

“ถ้าเชื่อว่าไม่แพ้เราก็จะไม่แพ้ ไม่ว่าผลมันจะออกมาเป็นอย่างไร แต่ถ้าเราเชื่อว่าไม่แพ้เราก็จะไม่แพ้”

เป็นอย่างไรกันบ้างคะ ชีวิตของเด็กกิจกรรมคนหนึ่ง ผู้อ่านอาจไม่รู้สึกว่ามันแตกต่างจากคนทั่วไปมากมายนัก แต่สำหรับแป้ง เพื่อนคนนี้ค่อนข้างต่าง สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือเพื่อนสามารถจัดการเวลาได้เป็นอย่างดี น้อยครั้งมากที่จะมีปัญหา ซึ่งจะแตกต่างกับคนทั่วไปตรงที่ว่าต้องเลือกทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แต่เพื่อนสามารถทำทั้ง 2 อย่างควบคู่กันไปได้

การจะทำอะไรก็ตามให้ออกมาดี ถ้าการจัดการเราทำได้ดีก็ไม่มีปัญหาค่ะ ผู้อ่านสามารถนำวิธีการแบ่งเวลาไปปรับใช้ได้นะคะ แป้งคิดว่าเป็นวิธีที่ทำได้ง่าย และนำไปใช้ได้จริง เหมาะสำหรับนักกิจกรรมทุกคนเลยค่ะ



..แล้วพบกันใหม่ในบทความต่อไป
สวัสดีค่ะ :)


28/5/58

กว่าจะเป็น ESTILO

สวัสดีค่ะผู้อ่านที่น่ารักมากๆ ทุกท่าน
ห่างหายไปซะนาน คิดถึงกันบ้างไหมน้า >//<
ช่วงที่ผ่านมา แป้งค่อนข้างยุ่งค่ะ
การบ้านเทอมนี้เยอะมากๆ แต่เป็นงานที่ทำแล้วมีความสุข
วันนี้จะขอพูดถึงงานในรายวิชา การผลิตสื่อสิ่งพิมพ์
อยากจะเล่าความรู้สึกและประสบการณ์ในการทำงานครั้งนี้
ผู้อ่านท่านใดสนใจงานด้านนี้ ลองอ่านแล้วนำไปต่อยอดได้นะคะ

กว่าจะเป็น ESTILO

การจะผลิตสื่อสิ่งพิมพ์สักเล่มหนึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย.. นี่คือสิ่งที่แป้งเรียนรู้ด้วยตัวเองจากการทำงานในรายวิชานี้ แป้งเป็นคนหนึ่งที่ชอบอ่านนิตยสาร ชอบอ่านหนังสือ เป็นนิสัยที่ถูกส่งต่อมาจากคุณแม่ จนถึงวันหนึ่งที่ได้เรียนรายวิชา การผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ พอรู้ว่าต้องทำนิตยสาร 1 เล่ม ในใจมันเกิดความรู้สึกหลากหลายมากๆ

เนื่องจากรายวิชานี้ต้องทำงานเป็นกลุ่ม ค่อนข้างตื่นเต้นและลุ้นมากว่าจะได้ทำงานร่วมกับใครบ้าง ถือเป็นความโชคดีค่ะ เพราะเพื่อนที่ได้ทำงานร่วมกันทุกคนมีความขยันและตั้งใจในการทำงานมากๆ เป็นเพื่อนที่คุ้นหน้าคุ้นตาเคยทำงานด้วยกันอยู่บ่อยๆ 

การทำนิตยสารได้เริ่มต้นขึ้นจากการเลือก theme เริ่มแรกกลุ่มเราเลือกทำเป็นแบบไทยประยุกต์ แต่เนื่องจากการลงพื้นที่หรือการหาข้อมูลทำได้ค่อนข้างยาก จึงเปลี่ยนเป็นแบบวัยรุ่นวัยเรียน โดยใช้ theme คือ ความฝัน กลุ่มเป้าหมายคือช่วงวัยทีน หรือมัธยมศึกษาตอนปลาย

ESTILO = STYLE กลุ่มเราดึงเอาความเป็นตัวของตัวเองของแต่ละคน เขียนออกมาเป็นบทความตามเรื่องที่ถนัด และดึงเอาความฝันของน้องๆ ออกมา โดยเน้นความเป็นธรรมชาติที่ไม่มีการแต่งเติมสิ่งใดใดลงไป

หลังจากนั้นได้ทำการแบ่งคอลัมน์ให้แต่ละคนรับผิดชอบ โดยแป้งได้เขียนเรื่อง อาหารคลีน, สิว, แนะนำหนังสือ, แนะนำร้านกาแฟ (1 ร้าน), D.I.Y (ทำสมุด, ร้านขายของ) และคอลัมน์หลักที่ช่วยกันทำ ซึ่งคอลัมน์หรือบทความที่เขียนจะมีทั้งแบบค้นคว้าข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตและลงพื้นที่เอง 

โดยเริ่มเขียนจากบทความที่หาข้อมูลง่ายที่สุดคืออาหารคลีน เนื่องจากเป็นเรื่องที่ค่อนข้างมีกระแส คนติดตาม จึงมีข้อมูลค่อนข้างมาก ต่อมาเขียนเรื่องสิว โดยข้อมูลส่วนหนึ่งมาจากอินเทอร์เน็ต และอีกส่วนหนี่งมาจากประสบการณ์ตรงของตนเอง

ในส่วนของบทความแนะนำหนังสือ เป็นบทความที่ชอบโดยส่วนตัว เพราะก่อนจะเขียนได้ไปเดินงานสัปดาห์หนังสือ อย่างที่บอกไปข้างต้นว่าชอบอ่านหนังสือ การเขียนบทความนี้จึงไม่มีปัญหาแต่อย่างใด ส่วนตัวแล้วอยากแนะนำ 10 เล่มไปเลย แต่เกรงว่าจะรบกวนเงินในกระเป๋าผู้อ่านมากเกินไป

การเขียนรีวิวร้านกาแฟ ในใจคิดว่าไม่น่าจะยาก แต่ก็ยากอยู่เหมือนกัน คือคิดว่าเราจะเขียนอย่างไรให้ผู้อ่านรู้สึกว่าร้านนี้น่าไปจังเลย จึงพยายามมองหาจุดเด่นรวมถึงเลือกร้านที่เดินทางไปง่าย สะดวกทุกเส้นทาง ราคาน่าคบหา เหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัย

สุดท้ายเป็นคอลัมน์หลักของตัวเอง Do It Yourself : D.I.Y. แป้งมีความสุขมากๆ กับคอลัมน์นี้ เพราะส่วนตัวแล้วเป็นคนชอบทำงานประดิษฐ์ ชอบทำของเล็กๆ น่ารักๆ โดยเลือกทำสมุดเพราะทำบ่อย คิดว่าผู้อ่านลองทำตามได้ไม่ยาก ใช้งานได้จริง มีประโยชน์ในชีวิตประจำวัน ต้นทุนก็ถูกมากด้วยเมื่อเทียบกับการซื้อสมุดตามร้านเครื่องเขียน ถึงแม้ว่าขั้นตอนในการทำสมุดจะค่อนข้างเยอะ แต่ก็เพื่อความเข้าในใจการทำตาม จริงๆ แล้วมีเยอะกว่าที่เห็นในบทความ แต่ได้ตัดออกไปส่วนหนึ่งเพื่อให้เนื้อหามีความกระชับ ไม่ยาวจนเกินไป

รูปในคอลัมน์ที่ไม่ได้ลงพื้นที่หรือปฏิบัติเองจะเป็นรูปจากอินเทอร์เน็ต ส่วนคอลัมน์ที่ลงพื้นที่เอง ทำเองจะถ่ายด้วยตัวเอง เพราะแป้งมองว่าถ้าอยากให้รูปกับข้อความสัมพันธ์กัน นักเขียนและช่างภาพควรเป็นคนๆ เดียวกัน

การทำงานในครั้งนี้ เนื่องจากต้องทำงานเป็นกลุ่ม ก็มีบ้างที่ความคิดเห็นไม่ตรงกัน กลุ่มเราใช้วิธีค่อยๆ พูด ค่อยๆ คิด ลงคะแนนและเลือกตามเสียงข้างมาก ใช้อารมณ์คุยกันให้น้อย ใช้เหตุผลให้มาก งานก็สามารถสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี

ต้องยอมรับว่าช่วยงานเพื่อนตอนออกกองน้อยมาก จึงพยายามทำคอลัมน์หรือบทความที่ได้รับมาให้ดีที่สุด มีจุดบกพร่องให้เพื่อนแก้น้อยที่สุด เพื่อลดภาระงานของบก. และฝ่ายกราฟิก โดยจะช่วยในส่วนที่ช่วยได้ ซึ่งเมื่อไม่ได้ออกกองนอกสถานที่กับเพื่อนๆ ก็ทำงานในคอมแทน อย่างเช่นคอลัมน์หลัก ติดธุระไม่ได้ไป ก็แกะเสียงสัมภาษณ์ส่งให้เพื่อให้การทำงานเร็วขึ้น

สุดท้ายนี้อยากขอบคุณอ.ประจำรายวิชา ที่คอยให้คำแนะนำ คำปรึกษาเกี่ยวกับการทำงาน ขอบคุณเพื่อนๆ ในกลุ่มทุกคนที่ให้โอกาสได้ทำงานร่วมกัน ขอบคุณที่คอยจี้คอยบ่น เพราะมีบ้างที่เผลอขี้เกียจ แต่โชคดีที่เพื่อนกระตุ้นอยู่ตลอด ทำให้ทำงานเสร็จได้ทันเวลา :) ภูมิใจกับนิตยาสารเล่มนี้มากๆ หวังว่าใครที่ได้อ่านจะชื่นชอบเช่นกัน.. "กว่าจะเป็น ESTILO"


แล้วพบกันใหม่บทความต่อไป
สวัสดีค่ะ :) 
 

22/4/58

บ้านมหัศจรรย์..บ้าน 100 อัน 1,000 อย่าง

สวัสดีผู้อ่านทุกท่านค่า คิดถึงกันมั้ยน้อออออออออ :D
วันนี้แป้งกลับมาพร้อมกับบทความที่มีสาระ(จริงๆ นะ)
จะมาแนะนำสถานที่ที่หนึ่งค่ะ น่าสนใจมากๆ
เป็นพิพิธภัณฑ์ซึ่งตั้งอยู่ที่ จ.เชียงใหม่
ฮั่นแน่! อยากไปเที่ยวเชียงใหม่กันแล้วใช่ป่าวเอ่ย
แล้วจะรอช้ากันอยู่ทำไม เลื่อนลงไปอ่านกันเลยค่า..



บ้านร้อยอันพันอย่าง

บ้านร้อยอันพันอย่าง เกิดขึ้นจากความคิดของท่านอาจารย์ชรวย ณ สุนทร ที่มีความคิดที่ต้องการจะอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมดั้งเดิมของชาวล้านนาไว้ อาจารย์จึงได้ค่อยๆ เริ่มสะสมไม้ต่างๆ จำนวนมาก ทั้งที่ลงทุนซื้อมาเอง และจากที่มีชาวบ้านทราบและนำมาให้ หลังจากนั้นจึงนำไปให้ช่างฝีมือแกะสลักจนออกมาเป็นชิ้นงานอันวิจิตรบรรจงที่ได้จัดแสดงไว้ภายในบ้านร้อยอันพันอย่างแห่งนี้




สิ่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เดินทางมาเยี่ยมชมสถานที่แห่งนี้ เกิดจากชื่อเสียงเรื่องความงดงาม และความประณีตของไม้แกะสลักที่มีฝีมือ ยากที่จะหาดูได้ง่ายจากที่อื่นๆ อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวตามรอยพระราชอาคันตุกะอีกด้วย

การเดินทางมายังบ้านร้อยอันพันอย่างก็ไม่ได้ยากลำบากอะไรเลย ตั้งอยู่ในพื้นที่อำเภอหางดง ริมทางหลวงสาย 108 เชียงใหม่-สันป่าตอง-จอมทอง ระหว่างหลักกม.ที่ 19-20 หากมาจากเชียงใหม่จะอยู่ติดถนนฟากซ้ายมือ และจากประตูเมืองเชียงใหม่มีรถโดยสารสีเหลืองผ่านหลายสาย ได้แก่ ทุ่งเสี้ยว, หนองตอง, จอมทอง, บ้านกาด, มะขามหลวง เป็นต้น

พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ จัดว่าเป็นแหล่งการเรียนรู้แบบบูรณาการ โดยสามารถเชื่อมโยงเข้ากับกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ในรายวิชาพระพุทธศาสนา ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เรื่องหลักธรรมทางพุทธศาสนา

ซึ่งเมื่อได้เดินชมรูปแกะสลักต่างๆ ที่แฝงไว้ด้วยปรัชญาและหลักธรรมที่ช่วยให้มนุษย์ลด ละ เลิก กิเลส และศิลปะที่สื่อถึงการเวียนว่ายตายเกิดของมนุษย์ พร้อมทั้งฟังคำบรรยายจากวิทยากร ทำให้มีความเข้าใจในหลักวัฏสงสาร และมรรคมีองค์ ๘ ในหมวดของอริยสัจ ๔ ซึ่งเป็นทางดับทุกข์ได้มากยิ่งขึ้น



โดยเมื่อมีความเข้าใจในหลักธรรมต่างๆ แล้ว เราก็จะสามารถนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ อย่างน้อยสิ่งหนึ่งที่ทำได้คือการรู้จักปล่อยวาง เพราะไม่มีอะไรที่คงอยู่ตลอดไป รู้จักคิดอย่างมีเหตุผล มีความอดทนในการแก้ไขปัญหา

จากการชมพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ทำให้เกิดกระบวนการคิดอย่างเป็นขั้นตอน ถามว่าเกิดได้อย่างไร? เกิดขึ้นจากการฟังบรรยายจากวิทยากร ที่เล่าถึงการทำรูปแกะสลัก การจะทำงานศิลปะมา 1 ชิ้น ต้องผ่านการคิด เรียบเรียง ก่อนลงมือทำ ไม่ใช่แค่อยากทำก็ทำ  และยังทำให้เกิดการใฝ่เรียนรู้ โดยผลงานทุกชิ้นจะมีที่มา แฝงแง่คิด สามารถนำไปต่อยอดหาความรู้เพิ่มเติมได้


สุดท้ายนี้..หมดช่วงสาระแล้วค่ะ :P
หากใครสนใจไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์บ้านร้อยอันพันอย่าง สามารถไปได้เลยนะคะ
- เปิดให้เยี่ยมชมทุกวันเวลา 8.30 - 16.30 น.
- อัตราค่าเข้าชม ชั้นล่าง ผู้ใหญ่ 20 บาท เด็ก 10 บาท ชั้นบน ผู้ใหญ่ 100 บาท เด็ก 20 บาท ชาวต่างชาติ 200 บาท
* ส่วนผู้ที่ต้องการให้ครูชรวยเป็นวิทยากรบรรยายนำชมบ้าน ควรติดต่อก่อนที่ โทร. 0-5382-2649, 0-5382-2664, 08-9850-0126

.. งานแกะสลักดีๆ และหาชมได้ยาก ต้องที่นี่เลยค่ะ แป้งแนะนำเลย ดีเยี่ยมจริงๆ!!






 แล้วพบกันใหม่ในบทความต่อไปนะคะ
สวัสดีค่ะ :)